Sunday, April 5, 2009

จำเป็นต้องยืดระยะเวลาคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนเพิ่มอีก 2 ปีหรือไม่???

จัดทำโดย นายธีรวิทย์ วิบูลผล
----------------------------------------------------------------------------------------------

จำเป็นต้องยืดระยะเวลาคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนเพิ่มอีก 2 ปีหรือไม่???

27 มีนาคม 2552 จรัสวิชญ สายธารทอง

วิกฤตสถาบันการเงินของสหรัฐอเมริกาที่เป็นต้นเหตุของการเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดย
วิกฤตครั้งนี้ได้ลุกลามและส่งผลกระทบในวงกว้างต่อตลาดเงิน ตลาดทุน และเศรษฐกิจโดยรวมของ
นานาประเทศ ด้วยเหตุนี้เอง รัฐบาลของแต่ละประเทศจึงได้ออกมาตรการเพื่อรองรับวิกฤตเศรษฐกิจ
โลกไม่ว่าจะเป็นมาตรการลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลาง มาตรการช่วยเหลือภาค
อสังหาริมทรัพย์ มาตรการเพิ่มสภาพคล่องให้ระบบการเงิน มาตรการค้ำประกันเงินกู้ของธนาคาร
หรือมาตรการรับซื้อหนี้เสียของสถาบันการเงินมาบริหาร นอกจากมาตรการดังกล่าวแล้ว จะเห็นได้ว่า
รัฐบาลของประเทศต่างๆ ทั้งในสหรัฐฯ ประเทศแถบยุโรปและเอเชียได้นำมาตรการเพิ่มวงเงิน
ประกันและ/หรือรับประกันเงินฝากเต็มจำนวนมาใช้ แต่สำหรับประเทศไทยเพิ่งมีการจัดตั้งสถาบัน
คุ้มครองเงินฝากภายใต้พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551 เมื่อวันที่ 11 สิงหาคม
2551 ที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งเพื่อคุ้มครองเงินฝากของผู้ฝากเงินในสถาบันการเงิน
เสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน และดำเนินการกับสถาบันการเงินที่
ถูกควบคุมตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน รวมทั้งชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอน
ใบอนุญาต โดยสถาบันคุ้มครองเงินฝากจะให้การคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนในปีแรกเท่านั้น และจะ
ทยอยลดวงเงินจ่ายคืนเหลือ 1 ล้านบาทในปีที่ 5
อย่างไรก็ตาม กฎหมายว่าด้วยสถาบันคุ้มครองเงินฝากมีบทบัญญัติให้สามารถเพิ่มวงเงิน
คุ้มครองได้ในช่วง 4 ปีแรกของการบังคับใช้กฎหมาย หากภาวะเศรษฐกิจและระบบการเงิน
เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญอันเป็นเหตุให้ต้องกำหนดจำนวนเงินที่ให้การคุ้มครองเงินฝากเพิ่มขึ้น
โดยให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวน
เงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น พ.ศ. .... ในสมัยรัฐบาลของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ โดยได้ผ่านการ
เห็นชอบในหลักการจากคณะรัฐมนตรีแล้วเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2551 แต่หลังจากที่มีการเปลี่ยน
รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กระทรวงการคลังได้ยืนยันร่างพระราชกฤษฎีกาฯ
ให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาอีกครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้น บทความนี้จะอธิบายถึงเหตุผลและความจำเป็นที่
ประเทศไทยต้องยืดระยะเวลาคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนเพิ่มอีก 2 ปี
เหตุผลแรก คือ การที่ระบบเศรษฐกิจทั่วโลกมีการเชื่อมโยงกัน(Globalization) อย่างใกล้ชิด
โดยเฉพาะประเทศที่มีบทบาทต่อการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจโลกอย่างสหรัฐฯ หากสหรัฐฯ เข้า
สู่ภาวะถดถอยแล้ว เศรษฐกิจโลกก็ต้องได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน จากการศึกษาข้อมูลสถิติของ
สหรัฐฯ ในการเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) ของ National Bureau of Economic Research (NBER)
2
ในช่วงปี 1945-2007 พบว่า เศรษฐกิจของสหรัฐฯ มีการถดถอยถึง 3 ครั้ง โดยแบ่งเป็น 3 ช่วง
ระยะเวลา คือ ช่วงที่ 1 ตั้งแต่ปี 1980-1982 เป็นเวลาประมาณ 2 ปี โดยมีสาเหตุมาจากวิกฤตน้ำมัน
(1973) และวิกฤตพลังงาน(1979) ช่วงที่ 2 เกิดเมื่อเดือนกรกฎาคม 1990 - มีนาคม 1991 เป็นเวลา
ประมาณ 8 เดือน โดยมีสาเหตุมาจากเหตุการณ์ Black Monday และ Gulf war และช่วงที่ 3 เกิดขึ้นเมื่อ
เดือนพฤศจิกายน 2001- พฤศจิกายน 2002 สาเหตุมาจากฟองสบู่แตกจาก Dot.com หรือ Dot.com
bubble เป็นเวลาประมาณ 12 เดือน และในขณะเดียวกันจากข้อมูลของ International Monetary Fund
(IMF) พบว่าเศรษฐกิจโลกมีการถอดถอยถึง 3 ครั้งในปี 1990-1993, 1998 และ 2001-2002 สาเหตุมา
จากประเทศที่มีบทบาทต่อการกำหนดทิศทางเศรษฐกิจโลก ด้วยเหตุนี้ ปี 2008 เศรษฐกิจโลกจึงหนี
ไม่พ้นผลกระทบจากวิกฤตการเงินของประเทศสหรัฐฯ โดยมีความเป็นไปได้ว่า การถดถอยของ
เศรษฐกิจโลกครั้งนี้อาจใช้เวลาถึง 2 ปี และจะกระทบมาถึงไทยด้วย เนื่องจากไทยเป็นประเทศเปิดเสรี
(Open economy) และมีการพึ่งพาการส่งออกเป็นหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
เหตุผลที่ 2 คือ การที่นานาประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ประเทศในแถบยุโรป และ
เอเชียได้ทยอยประกาศเพิ่มวงเงินประกันและ/หรือประกันเงินฝากเต็มจำนวนแล้ว เช่น เดนมาร์ก
สวีเดน ฟินแลนด์ อิตาลี เยอรมัน ฝรั่งเศส สเปน ฮอลแลนด์ เยอรมัน ออสเตรีย ไต้หวัน ฮ่องกง
นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบการเงินในยามวิกฤต และเพื่อ
ยับยั้งการเคลื่อนย้ายเงินฝากหรือเงินทุนไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่ให้ความคุ้มครองสูงกว่า เพื่อให้เห็น
ภาพชัดเจนยิ่งขึ้น จะขอยกตัวอย่างประเทศเพื่อนบ้านของไทยคือ มาเลเซียและสิงคโปร์ที่ได้ร่วมกัน
ประกาศประกันเงินฝากในบัญชีธนาคารทั้งหมดเมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2551 จนถึงเดือนธันวาคม 2553
เนื่องจากเศรษฐกิจและการเงินของทั้ง 2 ประเทศมีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากสิงคโปร์มี
มาตรการนี้ออกมาแต่มาเลเซียไม่ทำตาม ก็จะมีความเป็นไปได้ที่จะมีการเคลื่อนย้ายเงินฝากจาก
มาเลเซียไปสิงคโปร์
อย่างไรก็ดี จากรายงานผลการดำเนินงานของระบบธนาคารพาณิชย์สำหรับปี 2551 ของ
ธนาคารแห่งประเทศไทยพบว่าระบบธนาคารพาณิชย์โดยรวมมีเสถียรภาพ โดยธนาคารทุกแห่งได้กัน
สำรองตามเกณฑ์มาตรฐานบัญชีสากล(IAS 39) ครบถ้วนแล้วตั้งแต่ปี 2550 ทำให้ระบบธนาคาร
พาณิชย์มีการเตรียมความพร้อมไว้รองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตที่ดีขึ้น นอกจากนี้แล้ว
ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการนำเกณฑ์ Basel II มาเริ่มใช้ ณ สิ้นปี 2551 ทำให้ฐานะเงินกองทุน
ต่อสินทรัพย์เสี่ยง(BIS) อยู่ที่ระดับร้อยละ 14.2 ซึ่งก็ยังสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำตามกฎหมายที่กำหนดไว้
ร้อยละ 8.5 และมีสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Gross Non Performing Loan) คิดเป็นร้อยละ 5.3 ของ
ยอดสินเชื่อรวม และ Net NPL ร้อยละ 2.9 ของยอดสินเชื่อรวม ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงต่อเนื่องจาก
ไตรมาสก่อนหน้านี้ และการทำธุรกรรมทางการเงินของธนาคารพาณิชย์ไทยที่มีต่อการถือสินทรัพย์
ต่างประเทศของบริษัทหรือสถาบันการเงินต่างประเทศมีประมาณร้อยละ 1.3 ของสินทรัพย์
3
ต่างประเทศทั้งหมดที่ธนาคารพาณิชย์ถือสินทรัพย์อยู่ และการลงทุนใน Collateralized Debt
Obligation (CDO) ก็มีเพียงประมาณร้อยละ 0.2
ถึงแม้ไทยจะมีระบบการเงินที่เข้มแข็ง แต่การที่เศรษฐกิจโลกมีการเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด
และหลายประเทศได้ประกาศเพิ่มวงเงินประกันและ/หรือประกันเงินฝากเต็มจำนวนแล้ว ไทยก็ต้องมี
มาตรการเพื่อเตรียมรับมือกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ดังนั้น กระทรวงการคลังจึงเสนอมาตรการโดย
ให้สถาบันคุ้มครองเงินฝากยืดระยะเวลาคุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนเพิ่มขึ้นอีก 2 ปี ตามเหตุผลที่ได้
กล่าวมาแล้วข้างต้น โดยตารางข้างล่างนี้แสดงการเปรียบเทียบระหว่างการให้ความคุ้มครองเงินฝาก
ตามพระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551 และร่างพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยกำหนด
จำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น พ.ศ. .... ที่กระทรวงการคลังเสนอ
พ.ร.บ. สถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ. 2551 ร่างพ.ร.ฎ.ที่กระทรวงการคลังเสนอ



หากพิจารณาถึงการขยายระยะเวลาการคุ้มครองเงินฝากแบบเต็มจำนวนในปีที่ 2 และปีที่ 3
(11 สิงหาคม 2552 - 10 สิงหาคม 2554) จะคุ้มครองผู้ฝากเงินเพิ่มขึ้นเพียงประมาณร้อยละ 0.02 แต่จะ
คุ้มครองเงินฝากเพิ่มเป็นร้อยละ 18.11 ของเงินฝากทั้งระบบ นอกจากนี้แล้ว การขยายระยะเวลาการ
คุ้มครองเงินฝากเต็มจำนวนเพิ่ม 2 ปี จะสามารถครอบคลุมถึงประเภทบัญชีที่ได้รับการคุ้มครองจำกัด
จำนวนตามกฎหมายตั้งแต่ปี 2552 ที่เริ่มลดวงเงินคุ้มครองเป็นต้นไป เช่น เงินฝากของบริษัทมหาชน
มูลนิธิ องค์กรการกุศล สหกรณ์ประเภทต่างๆ เป็นต้น โดยบัญชีประเภทดังกล่าวถือเป็นบัญชีของผู้
ฝากเงินรายใหญ่ ซึ่งจะส่งผลดีทางจิตวิทยาต่อระบบการเงินของประเทศด้วย
สรุปคือ ประเทศไทยมีความจำเป็นที่ต้องขยายระยะเวลาคุ้มครองเงินฝากเพิ่มขึ้นอีก 2 ปี เพื่อ
เป็นมาตรการหนึ่งในการป้องกันมิให้ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกมีผลกระทบต่อจิตวิทยาความเชื่อมั่น
ของผู้ฝากเงินในระบบสถาบันการเงินไทย รวมทั้งรักษาระดับความเชื่อมั่นของนักลงทุนและนิติ
4
บุคคลที่มีเงินฝากในบัญชีเกินกว่าที่กฎหมายเดิมกำหนดไม่ให้ตื่นตระหนกถอนเงินฝากของตน
ออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่ให้การคุ้มครองที่สูงกว่า ทั้งนี้ เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบการเงิน
และระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ
บทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียนมิได้สะท้อนถึงองค์กรที่ผู้เขียนสังกัดแต่อย่างใด


ที่มาบทความ นาย จรัสวิชญ สายธารทอง


Question?
1.ประเทศไทยจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากภายใต้พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก โดยมีวัตถุประสงค์อะไร?
2.พระราชกฤษฎีกากำหนดจำนวนเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองเพิ่มขึ้น ได้ผ่านการเห็นชอบในหลักการจากคณะรัฐมนตรีเมื่อไหร่
3.จงบอกเหตุผลที่ประเทศไทยต้องขยายระยะเวลาคุ้มครองเงินฝากเพิ่มขึ้นอีก 2 ปี

No comments:

Post a Comment